ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 318: | บรรทัด 318: | ||
ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2019 ทิม ซาวิลล์ (Tim Saville) นักดำน้ำลึกชาวอังกฤษ เสียชีวิตระหว่างการดำน้ำลึก 393 ฟุต (120 เมตร) บนซากเรือบริแทนนิก<ref>Rosemary E Lunn [https://xray-mag.com/content/little-good-comes-brit-wreck-divers-death/ A little good comes from Brit wreck diver's death] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20191107130616/https://xray-mag.com/content/little-good-comes-brit-wreck-divers-death |date=7 November 2019 }} X-Ray Magazine</ref> |
ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2019 ทิม ซาวิลล์ (Tim Saville) นักดำน้ำลึกชาวอังกฤษ เสียชีวิตระหว่างการดำน้ำลึก 393 ฟุต (120 เมตร) บนซากเรือบริแทนนิก<ref>Rosemary E Lunn [https://xray-mag.com/content/little-good-comes-brit-wreck-divers-death/ A little good comes from Brit wreck diver's death] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20191107130616/https://xray-mag.com/content/little-good-comes-brit-wreck-divers-death |date=7 November 2019 }} X-Ray Magazine</ref> |
||
== มรดก == |
|||
== ผลหลังจากการจม == |
|||
อาชีพของ |
อาชีพของถูกตัดขาดในช่วงสงคราม ไม่เคยเชิงพาณิชย์ และมีเพียงบริแทนนิกไม่ไททานิก หลังจากถูกสาธารณชน ก็ชื่อเสียงเมื่อซากเรือถูกค้นพบ ชื่อของถูกนำมาใช้โดยไวต์สตาร์ไลน์ เมื่อเรือ เอ็มวี บริแทนนิก เข้าประจำการในปี .ศ. เรือลำเป็นเรือลำสุดท้ายที่ธงของบริษัทในปี .ศ. |
||
หลังจาก |
หลังจากเยอรมนีสงครามโลกครั้งที่ ตามด้วยสนธิสัญญา เยอรมนีได้มอบเรือเดินสมุทรบางส่วนเป็นสงคราม สองลำได้มอบให้ ลำแรกคือบิ เปลี่ยนชื่อเป็น มาเจสติก มาแทนที่ริแทนนิก ที่สอง โคลัมบัส เปลี่ยนชื่อเป็นโฮเม |
||
จอร์จ เพอร์แมน (George Perman) ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจากการอับปางของเรือ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 2000 ขณะนั้นเขาอายุเพียง 15 ปี และกำลังทำหน้าที่เป็นลูกเสือคอยช่วยเหลือบนเรือ<ref>{{cite web|title=Southampton scout survived sinking of First World War hospital ship|url=https://www.dailyecho.co.uk/news/13875532.southampton-scout-survived-sinking-of-first-world-war-hospital-ship/}}</ref> |
|||
== ในวัฒนธรรมสมัยนิยม == |
== ในวัฒนธรรมสมัยนิยม == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:15, 13 ธันวาคม 2566
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
เจ้าของ | ไวต์สตาร์ไลน์ |
ผู้ให้บริการ | ราชนาวี |
ท่าเรือจดทะเบียน | ลิเวอร์พูล, อังกฤษ |
Ordered | 1911 |
อู่เรือ | ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์, เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์เหนือ |
Yard number | 433[1] |
ปล่อยเรือ | 30 พฤศจิกายน 1911 |
เดินเรือแรก | 26 กุมภาพันธ์ 1914 |
สร้างเสร็จ | 12 ธันวาคม 1915 |
บริการ | 23 ธันวาคม 1915 (เรือพยาบาล) |
หยุดให้บริการ | 21 พฤศจิกายน 1916 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ชนกับทุ่นระเบิดของ SM U-73 และอับปางในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1916 ใกล้กับเกาะเคีย ในทะเลอีเจียน |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | ชั้นโอลิมปิก |
ขนาด (ตัน): | 48,158 ตันกรอส |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 53,200 ตัน |
ความยาว: | 882.9 ฟุต (269.1 เมตร) |
ความกว้าง: | 94 ฟุต (28.7 เมตร) |
ความสูง: | 175 ฟุต (53 เมตร) (วัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ) |
กินน้ำลึก: | 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร) |
ความลึก: | 64 ฟุต 6 นิ้ว (19.7 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร, 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมี Sun deck, Boat (ชั้น A), Promenade (ชั้น B), C-G, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น (เป็นพื้นที่สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ หรือพื้นทีสำหรับเพลาใบจักร เป็นต้น) |
ระบบพลังงาน: |
|
ระบบขับเคลื่อน: | ใบจักร 3 ตัว ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางมีขนาด 16 ฟุต 6 นิ้ว ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ ส่วนใบจักรซ้ายและขวามีขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 3 ใบ |
ความเร็ว: |
|
ความจุ: | ผู้โดยสาร 3,309 คน |
เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก (อังกฤษ: HMHS Britannic) มีชื่อเต็มว่า เรือพยาบาลหลวงบริแทนนิก (His Majesty's Hospital Ship Britannic) เป็นเรือพยาบาลสัญชาติอังกฤษ เป็นเรือลำสุดท้ายและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโครงการเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ และเป็นเรือลำที่สองของไวต์สตาร์ที่ใช้ชื่อ 'บริแทนนิก' เรือลำนี้เป็นเรือฝาแฝดของอาร์เอ็มเอส โอลิมปิก และไททานิก โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อให้บริการในฐานะเรือโดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ถูกเกณฑ์เข้ามาเป็นเรือพยาบาลก่อนในปี 1915 จนกระทั่งอับปางลงในทะเลอีเจียนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ในขณะนั้นเรือลำนี้ถือเป็นเรือพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง]
เรือบริแทนนิกถูกสร้างก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่ม และได้รับการออกแบบให้เป็นเรือที่ปลอดภัยที่สุดในบรรดาเรือทั้งสามลำ โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระหว่างการก่อสร้างจากบทเรียนที่ได้จากการอับปางของเรือไททานิก เรือถูกเก็บไว้ที่อู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูล์ฟ ในเบลฟาสต์เป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นเรือพยาบาล และทำหน้าที่ระหว่างสหราชอาณาจักรและดาร์ดะแนลส์ระหว่างปี ค.ศ. 1915–1916
ในเช้าวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เรือได้ชนกับทุ่นระเบิดของกองทัพเรือเยอรมันใกล้กับเกาะเคียของกรีซ และอับปางลง 55 นาทีต่อมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 30 คนจากทั้งหมด 1,066 คน และผู้รอดชีวิตได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งนับเป็นเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่อับปางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[3]
หลังสงคราม ไวต์สตาร์ไลน์ได้รับค่าชดเชยจากการสูญเสียบริแทนนิกด้วยการมอบเรือเอสเอส บิสมาร์ค (SS Bismarck) ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าปฏิกรรมสงคราม และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอาร์เอ็มเอส มาเจสติก (RMS Majestic)
ในปี 1975 ได้มีการค้นพบซากเรือโดยฌาคส์ กูสโต (Jacques Cousteau) ซึ่งนับเป็นเรือโดยสารที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก[4] ซากเรือถูกซื้อไปในปี ค.ศ. 1996 และปัจจุบันเป็นเจ้าของโดยไซมอน มิลส์ (Simon Mills) นักประวัติศาสตร์ทางทะเล
การเปลี่ยนแปลงการออกแบบ
เดิมทีขนาดของเรือบริแทนนิกนั้นใกล้เคียงกับเรือแฝดพี่ทั้งสองลำ (โอลิมปิกและไททานิก) แต่ขนาดของเรือถูกปรับเปลี่ยนในขณะที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างหลังจากเหตุการณ์เรือไททานิคอับปาง
ด้วยระวางบรรทุก 48,158 ตัน ทำให้เรือบริแทนนิกมีปริมาณภายในที่เหนือกว่าเรือแฝดพี่ แต่ไม่ได้ทำให้กลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น เนื่องจากเรือเอสเอส วาเทอร์แลนด์ (SS Vaterland) ของเยอรมนียังคงถือครองตำแหน่งนี้อยู่ด้วยระวางบรรทุกที่สูงกว่าอย่างมาก[5]
เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิก (Olympic-class ships) ขับเคลื่อนด้วยระบบผสมระหว่างเครื่องยนต์ไอน้ำขยายสามเท่า (triple-expansion steam engines) จำนวน 2 เครื่อง ซึ่งขับเคลื่อนใบจักรซ้ายและขวา กับกังหันไอน้ำแรงดันต่ำ (low-pressure steam turbine) ที่ใช้ไอน้ำที่ปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์ทั้งสองเพื่อขับเคลื่อนใบจักรกลาง ทำให้เรือมีความเร็วสูงสุด 23 นอต[6]
การปรับการออกแบบหลังไททานิกอับปาง
เรือบริแทนนิกมีเค้าโครงที่คล้ายคลึงกับเรือแฝดพี่ทั้งสองลำ (โอลิมปิกและไททานิก) แต่หลังจากเหตุการณ์เรือไททานิกอับปางและการสอบสวนที่ตามมา ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบหลายอย่างสำหรับเรือบริแทนนิก การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก่อนเปิดตัวเรือได้แก่:[7]
- เพิ่มความกว้างของเรือบริเวณห้องเครื่องยนต์และหม้อไอน้ำเป็น 94 ฟุต (29 เมตร) เพื่อรองรับโครงสร้างแบบตัวเรือสองชั้น (double hull)
- เพิ่มขนาดของเครื่องยนต์กังหันไอน้ำเป็น 18,000 แรงม้า (13,000 กิโลวัตต์) จากเดิมที่เป็น 16,000 แรงม้า (12,000 กิโลวัตต์) ที่ติดตั้งบนเรือสองลำก่อนหน้า เพื่อชดเชยความกว้างของลำเรือที่เพิ่มขึ้น
- กำแพงกั้นน้ำส่วนกลางได้รับการปรับปรุงให้มีความทนทานมากขึ้น ซึ่งช่วยให้เรือยังสามารถลอยลำอยู่ได้หากมีน้ำท่วมอย่างน้อย 6 ห้อง
- ขยายความสูงของกำแพงกั้นน้ำ 6 ใน 15 แนวให้สูงขึ้นถึงดาดฟ้าชั้น B
การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการติดตั้งเครนแขวนเรือชูชีพขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "เครนโครงเหล็ก" (gantry davits) ซึ่งแต่ละตัวขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและสามารถจุเรือชูชีพได้ 6 ลำซึ่งเก็บไว้บนโครงเหล็ก โดยเรือถูกออกแบบมาให้มีเครน 8 ตัว แต่มีเพียง 5 ตัวเท่านั้นที่ติดตั้งก่อนที่เรือจะเข้าประจำการในสงคราม ส่วนที่เหลือใช้เรือชูชีพที่ปล่อยโดยเครนแบบเวลิน (Welin-type davits) ที่ควบคุมด้วยมือเหมือนเดียวกับเรือโอลิมปิกไททานิก[8][9]
เรือบริแทนนิกมีเรือชูชีพเพิ่มเติมที่สามารถเก็บไว้บนหลังคาของเรือนพักลูกเรือ เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากเครน และเครนโครงเหล็กก็สามารถยกเรือชูชีพไปยังอีกฝั่งของเรือได้ ตราบใดที่ปล่องควันไม่ขวางทาง การออกแบบนี้ช่วยให้สามารถปล่อยเรือชูชีพทั้งหมดได้ แม้ว่าเรือจะเอีย��ไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำให้ไม่สามารถปล่อยเรือชูชีพได้ที่ด้านตรงข้ามกับที่เอียง เครนบางตัวติดตั้งอยู่ใกล้กับปล่องควัน ทำให้การปล่อยเรือชูชีพที่อยู่ใต้ปล่องควันนั้นยากลำบาก[10]
นอกจากนี้ ลิฟต์ที่เคยหยุดที่ดาดฟ้าชั้น A ในเรือไททานิก ก็ถูกปรับปรุงให้สามารถขึ้นไปถึงดาดฟ้าชั้นเรือชูชีพ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและลูกเรือไปยังเรือชูชีพในกรณีฉุกเฉิน[10]
เรือบริแทนนิกมีเรือชูชีพทั้งหมด 48 ลำ โดยแต่ละลำสามารถจุคนได้อย่างน้อย 75 คน ดังนั้นเรือชูชีพทั้งหมดจึงสามารถจุคนได้อย่างน้อย 3,600 คน ซึ่งสูงกว่าความจุสูงสุดของเรือที่ 3,309 คน
ลักษณะเฉพาะของเรือ
สัดส่วนเรือ
- ความยาว: 882.9 ฟุต (269.1 เมตร)
- ความกว้าง: 94 ฟุต (28.7 เมตร)
- ความสูง: 175 ฟุต (53 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ
- ความสูงตัวเรือ: 64 ฟุต 6 นิ้ว (19.7 เมตร)
- กินน้ำลึก: 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร)
- น้ำหนัก: 48,158 ตัน
- ระวางขับน้ำ: 53,200 ตัน
ลักษณะทั่วไป
- สี: ปล่องไฟทาสีเหลืองทั้งปล่อง, ตัวเรือและโครงสร้างส่วนบน (superstructure) ทาสีขาว โดยมีแถบสีทองคาดระหว่างตัวเรือกับโครงสร้างบนเรือ สัญลักษณ์กาชาดสีแดง 6 จุด และแถบสีเขียวคาดกลางตลอดความยาวตัวเรือ ท้องเรือใต้แนวน้ำทาสีแดง
- ปล่องไฟ: 4 ปล่อง แต่ละปล่องสูง 62 ฟุต (18.8 เมตร) กว้าง 19 ฟุต (5.7 เมตร) ยาว 24.5 ฟุต (7.4 เมตร) ใช้เส้นเคเบิลตรึงปล่องละ 12 เส้น ทำมุม 3.27 องศาจากแนวตั้งฉาก ติดหวูดไอน้ำทุกปล่อง ใช้ระบายควัน 3 ปล่องแรก ส่วนปล่องสุดท้ายใช้ระบายอากาศและทำให้ดูสมดุล
- เสากระโดงเรือ: 2 ต้น ที่หัวเรือและท้ายเรือ สูงต้นละ 154.1 ฟุต (47 เมตร)
- หัวเรือ: ออกแบบให้มีที่ตัดน้ำแข็งทางหัวเรือ สมอเรือ 2 ตัว เครนยกสมอ 1 ตัว เสากระโดงเรือ 1 ต้น และช่องขนสินค้า
- ท้ายเรือ: หางเสือ 1 ตัว สะพานเทียบเรือ และเครนยกสินค้า 4 ตัว
- วัสดุสร้างเรือ: โครงเรือทำจากเหล็ก โครงสร้างภายในทำจากไม้ เปลือกเรือภายในและภายนอกทำจากเหล็กกล้า พื้นดาดฟ้าเรือปูด้วยไม้สัก ปล่องไฟทำจากเหล็กกล้า เสากระโดงเรือทำจากไม้สนสปรูซ
- ดาดฟ้า: 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร และ 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมีดาดฟ้าชั้นอาบแดด (Sun deck) ชั้นเรือบด (Boat deck) และทางเดิน (Promenade) (ชั้น A–B) ชั้น C–G และชั้นท้องเรือ 2 ชั้น (สำหรับหม้อน้ำ ถ่านหิน เครื่องยนต์ ห้องกั้นน้ำ ประตูผนึกน้ำ และเพลาใบจักร)
- เครนโครงเหล็ก: 8 ตัว แต่ละตัวจุเรือชูชีพได้ 6 ลำ รวมทั้งหมด 48 ลำ (ติดตั้งจริงเพียง 5 ตัว รวมทั้งหมด 30 ลำ)
- เรือชูชีพ: 48 ลำ แต่ละลำบรรทุกคนได้อย่างน้อย 75 คน ดังนั้นสามารถบรรทุกคนได้อย่างน้อย 3,600 คน ซึ่งเกินความจุสูงสุดของเรือที่ 3,309 คน
- ตำแหน่งห้องวิทยุสื่อสาร: ชั้นเรือบด กราบซ้าย ถัดจากห้องสะพานเดินเรือ
- ตะเกียงส่งสัญญาณ: 2 ดวง ติดตั้งทั้งกราบซ้ายและขวา บริเวณปีกสะพานเดินเรือชั้นเรือบด
- สมอเรือ: 2 ตัว หนักตัวละ 27 ตัน ที่หัวเรือทั้งกราบซ้ายและขวา
- เครนยกสินค้าไฟฟ้า: 6 ตัว; 2 ตัวบนชั้น C ด้านหน้าโครงสร้างส่วนบนเรือใกล้กับช่องสินค้า (Well deck), 2 ตัวบนชั้น B ค่อนไปทางท้ายเรือ, และ2 ตัวบนชั้น C ด้านหลังโครงสร้างส่วนบนเรือใกล้กับช่องสินค้า
- ห้องเก็บสินค้า: 9 ห้อง (ห้องมาตรฐาน 6 ห้อง ห้องแช่แข็ง 2 ห้อง และห้องไปรษณีย์ 1 ห้อง)
- ลิฟต์สินค้า: 2 ตัว (ตัวแรกจากชั้น A ไปชั้น D, ตัวที่สองจากชั้น D ไปชั้น G และลงท้องเรือโดยบันได)
- กำแพงกั้นน้ำ: 15 แนว แบ่งเป็น 16 ห้อง พร้อมประตูประตูผนึกน้ำทำงานด้วยไฟฟ้า
- ความจุผู้โดยสาร: 3,309 คน
- ลูกเรือ: ประมาณ 900 คน
ระบบพลังงาน
- เชื้อเพลิง: ถ่านหิน
- หม้อไอน้ำ: 29 ตัว ติดตั้งในห้องหม้อไอน้ำ 6 ห้อง แบ่งเป็น:
- หม้อไอน้ำแบบเติมถ่านได้ 2 ฝั่ง (double-ended) 24 เตา (6 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว)
- หม้อไอน้ำแบบเติมถ่านได้ฝั่งเดียว (single-ended) 5 เตา (3 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว)
- อัตราสิ้นเปลือง: ถ่านหิน 825 ตัน/วัน
- น้ำจืด 14,000 แกลลอน/วัน
ระบบขับเคลื่อน
- เครื่องยนต์: เครื่องยนต์ไอน้ำแบบขยายตัวสามเท่า (Triple Expansion) 4 สูบ จำนวน 2 เครื่อง ขับเคลื่อนใบจักรซ้ายและขวาโดยตรง ให้กำลัง 32,000 แรงม้า (12,000 กิโลวัตต์) และไอน้ำความดันต่ำที่ผ่านการใช้จากเครื่องยนต์ทั้งสองจะเข้าสู่เครื่องยนต์กังหันไอน้ำความดันต่ำ โดยขับเคลื่อนผ่านชุดเกียร์สู่ใบจักรกลาง ให้กำลัง 18,000 แรงม้า (15,000 กิโลวัตต์) รวม 50,000 แรงม้า (37,000 กิโลวัตต์)
- ใบจักร: 3 ตัว ทำจากสัมฤทธิ์ ใบจักรกลางมีขนาด 16 ฟุต 6 นิ้ว (5 เมตร) ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ ส่วนใบจักรซ้ายและขวามีขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว (7.1 เมตร) ดุมใบจักรไม่มีกรวยครอบ พวงใบจักรมี 3 ใบ
- หางเสือ: 1 ตัว หนัก 102.6 ตัน ยึดด้วยพานพับ 6 จุด
ความเร็ว
- ความเร็วสูงสุด: 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง)
- ความเร็วบริการ: 21 นอต (39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 24 ไมล์ต่อชั่วโมง)
ประวัติ
จุดกำเนิด
ในปี ค.ศ. 1907 เจ. บรูซ อิสเมย์ ผู้จัดการทั่วไปของไวต์สตาร์ไลน์ และลอร์ดเพียร์รี ประธานอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ ได้ตัดสินใจสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 3 ลำ เพื่อแข่งขันกับเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) และมอริเทเนีย (RMS Mauretania) ของคูนาร์ดไลน์ ไม่ใช่ในด้านความเร็ว แต่เป็นในด้านความหรูหราและความปลอดภัย[11] ชื่อของเรือทั้งสามลำได้รับการตัดสินใจในภายหลังและสะท้อนถึงความตั้งใจของผู้ออกแบบเกี่ยวกับขนาดของพวกมัน ได้แก่: โอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิก[12]
การก่อสร้างเรือโอลิมปิกและไททานิกเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1908 และ 1909 ตามลำดับ[13] ขนาดของเรือทั้งสองนั้นใหญ่โตมากจนจำเป็นต้องสร้างเครนสนามอาร์โรล (Arrol Gantry) เพื่อรองรับขนาดเรือโดยเฉพาะ และขยายขนาดพื้นที่ก่อสร้างเพื่อให้กว้างพอที่จะสร้างเรือสองลำพร้อมกันได้[14]
เรือทั้งสามลำได้รับการออกแบบให้มีความยาว 270 เมตร และมีระวางขับน้ำรวมกว่า 45,000 ตัน แม้ว่าความเร็วที่ออกแบบไว้ประมาณ 22 นอตนั้นจะต่ำกว่าเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียมาก แต่ก็ยังสามารถข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์[15]
ข่าวลือการเปลี่ยนชื่อ
แม้ว่าเรื่องนี้ทั้งไวต์สตาร์ไลน์และอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูล์ฟจะปฏิเสธมาตลอด[10][16] แต่มีบางแหล่งอ้างว่าเดิมทีเรือบริแทนนิกจะถูกตั้งชื่อว่า "ไจแกนติก" (Gigantic) แต่ถูกเปลี่ยนเพื่อไม่ให้แข่งขันกับหรือสร้างการเปรียบเทียบกับชื่อของเรือไททานิก[17][1] หนึ่งในแหล่งที่มาคือ โปสเตอร์ของเรือที่มีชื่อว่าไจแกนติกอยู่ด้านบน[18] แหล่งข้อมูลอื่น ๆ ได้แก่ หนังสือพิมพ์อเมริกันในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1911 ที่ระบุว่ามีการสั่งซื้อเรือชื่อไจแกนติกโดยไวต์สตาร์ไลน์รวมถึงหนังสือพิมพ์อื่น ๆ จากทั่วโลกทั้งในระหว่างการก่อสร้างและหลังจากการอับปางของไททานิก[19][20][21][22]
ทอม แม็กคลัสกี (Tom McCluskie) ผู้จัดการฝ่ายเก็บเอกสารและนักประวัติศาสตร์ของฮาร์แลนด์แอนด์วูล์ฟ ยืนยันว่าในช่วงที่เขาทำงานอยู่ "ไม่เคยเห็นเอกสารอ้างอิงอย่างเป็นทางการใด ๆ ที่ใช้ชื่อไจแกนติก หรือเสนอให้ใช้ชื่อนี้กับเรือลำที่สามในเรือชั้นโอลิมปิก"[23][24] มีการเปลี่ยนแปลงที่เขียนด้วยลายมือลงในสมุดบันทึกใบสั่งซื้อ ซึ่งลงวันที่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1912 แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเพียงการอ้างถึงความกว้างของเรือที่กำลังก่อสร้างอยู่เท่านั้น ไม่ใช่ชื่อของเรือแต่อย่างใด[24]
การก่อสร้าง
กระดูกงูของเรือบริแทนนิกถูกวางในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1911 ที่อู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูล์ฟ ในเบลฟาสต์ บนแท่นยกลำเดิมที่เคยใช้สร้างเรือโอลิมปิก[9] โดยมีการวางแผนที่จะนำเรือเข้าประจำการในช่วงต้นปี ค.ศ. 1914[25] เนื่องจากมีการปรับปรุงเพิ่มเติมจากเหตุการณ์เรือไททานิก ทำให้การสร้างเรือบริแทนนิดต้องเสร็จล่าช้าออกไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914[26]
เรือบริแทนนิกปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914[27] มีการกล่าวสุนทรพจน์หลายครั้งต่อหน้าสื่อมวลชน และมีการจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่การปล่อยเรือ[28] หลังจากนั้นจึงเริ่มการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเรือ และเข้าอู่แห้งในเดือนกันยายนเพื่อติดตั้งใบจักร[29]
การใช้พื้นที่เดิมของเรือโอลิมปิกช่วยประหยัดเวลาและเงินของอู่ต่อเรือ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องสร้างท่าเรือลำที่สามที่มีขนาดใกล้เคียงกับเรือสองลำก่อนหน้านี้ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ก่อนที่เรือบริแทนนิกจะเริ่มให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างนครนิวยอร์กและเซาแทมป์ตัน สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้ปะทุขึ้น อู่ต่อเรือทั้งหมดที่มีสัญญากับกระทรวงทหารเรือ (Admiralty) ได้รับสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ก่อน ส่งผลให้โครงการเรือพลเรือนทั้งหมดรวมถึงเรือบริแทนนิกถูกชะลอไว้[30]
กองทัพเรือได้ขอเรือจำนวนมากมาใช้เป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธหรือเรือขนส่งทหาร กระทรวงทหารเรือได้จ่ายเงินให้บริษัทต่าง ๆ สำหรับการใช้เรือของพวกเขา แต่ความเสี่ยงที่เรือจะอับปางในการปฏิบัติการทางเรือนั้นสูงมาก เรือโดยสารขนาดใหญ่ในมหาสมุทรไม่ได้ถูกนำไปใช้ในกองทัพเรือในตอนแรกเนื่องจากเรือขนาดเล็กใช้งานง่ายกว่า เรือโอลิมปิกกลับมาที่เบลฟาสต์ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1914 ในขณะที่งานประกอบเรือบริแทนนิกยังคงดำเนินต่อไปอย่างช้า ๆ[30]
แปลงเป็นเรือพยาบาล
เมื่อปฏิบัติการทางเรือขยายไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ความต้องการเรือขนส่งที่มีระวางบรรทุกเพิ่มขึ้นก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1915 เรือบริแทนนิกได้ผ่านการทดสอบเครื่องยนต์ และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าประจำการในกรณีฉุกเฉินภายในเวลาเพียง 4 สัปดาห์ เดือนเดียวกันนั้นยังเป็นครั้งแรกที่มีการสูญเสียเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ของพลเรือนคือ เรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ของคูนาร์ดไลน์ ถูกเรือดำน้ำ SM U-20 ของเยอรมนีปล่อยตอร์ปิโดโจมตีใกล้ชายฝั่งไอร์แลนด์จนอับปาง[31]
เดือนถัดมา กองทัพเรือตัดสินใจใช้เรือโดยสารที่เพิ่งได้รับมาจากการขอเมือเร็ว ๆ นี้มาใช้งานเป็นเรือขนส่งทหารในยุทธการกัลลิโพลี (เรียกอีกอย่างว่าการทัพดาร์ดะเนลส์) เรือลำแรกที่แล่นออกไปคือ อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย และอาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย ของคูนาร์ดไลน์
การยกพลขึ้นบกที่กัลลิโพลีได้พิสูจน์แล้ว��่าเป็นหายนะและจำนวนผู้เสียชีวิตก็มากขึ้น ความต้องการเรือพยาบาลขนาดใหญ่สำหรับการรักษาและการอพยพผู้บาดเจ็บก็เห็นได้ชัด เรืออาควิเทเนียถูกเปลี่ยนเป็นเรือพยาบาลในเดือนสิงหาคม (ตำแหน่งของเรือในฐานะเรือขนส่งทหารถูกแทนที่ด้วยเรือโอลิมปิกในเดือนกันยายน) จากนั้นในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1915 เรือบริแทนนิกก็ถูกเรียกมาใช้งานเป็นเรือพยาบาล หลังจากเทียบท่าอยู่ในเบลฟาสต์[ต้องการอ้างอิง]
เรือถูกทาสีใหม่เป็นสีขาวพร้อมสัญลักษณ์กาชาดสีแดงขนาดใหญ่และแถบสีเขียวแนวนอน และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "เอชเอ็มเอชเอส (เรือพยายาลหลวง) บริแทนนิก"[30] และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันชาลส์ อัลเฟรด บาร์ตเล็ตต์ (Charles Alfred Bartlett)[32] ภายในมีการติดตั้งเตียง 3,309 เตียงและห้องผ่าตัดหลายห้อง พื้นที่ส่วนกลางของดาดฟ้าชั้นบนถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักสำหรับผู้บาดเจ็บ ห้องโดยสารบนดาดฟ้าชั้น B ถูกใช้เป็นที่พักของแพทย์ ห้องอาหารและห้องรับรองผู้โดยสารชั้นหนึ่งบนดาดฟ้าชั้น D ถูกเปลี่ยนเป็นห้องผ่าตัด สะพานล่างถูกใช้เพื่อรองรับผู้บาดเจ็บเล็กน้อย[32] อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับการติดตั้งเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1915[30]
ประจำการครั้งแรก
เมื่อเรือบริแทนนิกถูกประกาศว่าพร้อมให้บริการในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1915 ที่ลิเวอร์พูล เรือก็ได้รับมอบหมายให้เป็นเรือพยาบาลและมีทีมแพทย์ประจำเรือ ประกอบด้วยพยาบาล 101 คน นายทหารสัญญาบัตร 336 คน นายทหารประทวน 52 คน และลูกเรือ 675 คน[32]
วันที่ 23 ธันวาคม เรือออกจากลิเวอร์พูลมุ่งหน้าไปยังท่าเรือมูดรอส บนเกาะเลมนอสในทะเลอีเจียนเพื่อนำทหารที่ป่วยและบาดเจ็บกลับมา[33] โดยเข้าร่วมกับเรืออีกหลายลำในเส้นทางเดียวกัน รวมทั้งเรือมอริเทเนีย อาควิเทเนีย[34] และโอลิมปิก[35] เรือแวะพักเติมถ่านหินที่เนเปิลส์ก่อนจะเดินทางต่อไป หลังจากกลับมา เรือได้ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำนอกเกาะไวต์เป็นเวลา 4 สัปดาห์[36]
การเดินทางครั้งที่ 3 ของเรือบริแทนนิกนั้นเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 4 เมษายน ค.ศ. 1916 ในเดือนมกราคมก่อนหน้านั้น ทางการได้สั่งอพยพทหารออกจากพื้นที่ดาร์ดะแนลส์[37] เมื่อสิ้นสุดการรับราชการทหารเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1916 เรือบริแทนนิกได้เดินทางกลับไปยังเบลฟาสต์เพื่อเข้ารับการปรับปรุงและแปลงสภาพให้เป็นเรือโดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก รัฐบาลอังกฤษจ่ายเงินชดเชยให้กับไวต์สตาร์ไลน์เป็นจำนวนเงิน 75,000 ปอนด์เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพเรือ การแปลงสภาพดำเนินไปเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะถูกขัดจังหวะโดยการเรียกเรือกลับเข้าประจำการทหารอีกครั้ง[38]
ถูกเรียกกลับ
กองทัพเรือเรียกเรือบริแทนนิกกลับเข้าประจำการในฐานะเรือพยาบาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1916 และกลับสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสำหรับการเดินทางครั้งที่ 4 ในวันที่ 24 กันยายนปีเดียวกัน[39] วันที่ 29 กันยายน ระหว่างทางไปเนเปิลส์ เรือเผชิญกับพายุรุนแรงซึ่งเรือสามารถผ่านไปได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย[40] เรือเดินทางกลับเซาแทมป์ตันในวันที่ 9 ตุลาคม ถือเป็นเดินทางเป็นครั้งที่ 5 แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ถูกขัดขวางด้วยการกักตัวลูกเรือเมื่อเรือมาถึงมูดรอส (ปัจจุบันคือมูโดรส) เนื่องจากลูกเรือมีอาการอาหารเป็นพิษ[41]
ชีวิตบนเรือบริแทนนิกดำเนินไปตามกิจวัตรประจำวัน:[33]
- 06:00 น.: ปลุกผู้ป่วยและทำความสะอาดสถานที่
- 06:30 น.: เสิร์ฟอาหารเช้า
- 07:00 น.: กัปตันตรวจเยี่ยมเรือ
- 12:30 น.: เสิร์ฟอาหารกลางวัน
- 16:30 น.: เสิร์ฟน้ำชา
- ช่วงระหว่างมื้ออาหาร: แพทย์ทำการรักษาผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ต้องการเดินเล่นสามารถทำได้
- 20:30 น.: ผู้ป่วยเข้านอน กัปตันตรวจเยี่ยมเรืออีกครั้ง
- บนเรือมีการจัดชั้นเรียนทางการแพทย์เพื่อฝึกอบรมพยาบาล[42]
เดินทางเที่ยวสุดท้าย/อับปาง
หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทาง 5 ครั้งไปยังเขตสงครามตะวันออกกลาง และกลับมายังสหราชอาณาจักรเพื่อส่งผู้ป่วยและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เรือบริแทนนิกก็ได้ออกจากเซาแทมป์ตันมุ่งหน้าสู่เลมนอสในเวลา 14:23 น. ของวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 นับเป็นการเดินทางครั้งที่ 6 ของเรือไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[43] เรือแล่นผ่านยิบรอลตาร์ในเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 15 พฤศจิกายน และมาถึงเนเปิลส์ในเช้าวันที่ 17 พฤศจิกายน เพื่อหยุดเติมถ่านหินและน้ำตามปกติ ซึ่งถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจขั้นแรกของเรือ[44]
เกิดพายุรุนแรงพัดถล่มจนเรือต้องจอดที่เนเปิลส์จนถึงบ่ายวันที่ 19 พฤศจิกายน เมื่อกัปตันบาร์ตเล็ตต์ตัดสินใจใช้ประโยชน์จากช่วงสั้น ๆ ที่สภาพอากาศดีขึ้นและเดินทางต่อไป ทะเลก็กลับมามีคลื่นอีกครั้งเมื่อเรือออกจากท่า พายุสงบลงในเช้าวันรุ่งขึ้นและเรือก็ผ่านช่องแคบเมสซินาไปได้อย่างราบรื่น แล่นผ่านแหลมมะตะบันในช่วงรุ่งสางของวันที่ 21 พฤศจิกายน และในตอนเช้า เรือก็แล่นด้วยความเร็วเต็มที่เข้าสู่ช่องแคบเคีย[44]
ขณะนั้นบนเรือมีผู้โดยสาร 1,066 คน แบ่งเป็นลูกเรือ 673 คน เสนารักษ์ทหารบก (Royal Army Medical Corps; RAMC) 315 คน พยาบาล 77 คน และกัปตัน[45]
เสียงระเบิดบนเรือ
เวลา 08.12 น. ตามเวลายุโรปตะวันออกของวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เรือเอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก ได้รับแรงกระแทกจากระเบิดหลังจากชนกับทุ่นระเบิดและจมลง 55 นาทีต่อมา[46] ต่อมาได้มีการเปิดเผยว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางไว้ในช่องแคบเอา เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1916 โดยเรือดำน้ำ SM U-73 ภายใต้คำสั่งของร้อยโทกูสตาฟ ซีส
เมื่อเกิดระเบิดขึ้น บรรยากาศในห้องอาหารก็เปลี่ยนไปทันที แพทย์และพยาบาลรีบออกไปประจำจุดของตนเองอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ตอบสนองแบบเดียวกัน เพราะแรงระเบิดบริเวณส่วนท้ายของเรือไม่รุนแรงเท่าส่วนหัว ทำให้หลายคนคิดว่าเรือชนกับเรือลำเล็กกว่า กัปตันบาร์ตเล็ตต์และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฮูมอยู่บนสะพานเดินเรือในขณะนั้น และสถานการณ์ที่ร้ายแรงก็ปรากฏชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว[47] การระเบิดเกิดขึ้นที่ด้านกราบขวา[47] ระหว่างห้องเก็บของหมายเลข 2 และ 3 แรงระเบิดทำให้กำแพงกั้นน้ำระหว่างห้องเก็บของหมายเลข 1 และส่วนหัวเรือเสียหาย[46] ห้องกั้นน้ำ 4 ห้องแรกที่อยู่ด้านหน้าเรือเริ่มเต็มไปด้วยน้ำอย่างรวดเร็ว[46] อุโมงค์คนต้มน้ำ (boiler-man's tunnel) ที่เชื่อมห้องพักของคนต้มน้ำที่หัวเรือกับห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 6 ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และน้ำก็ไหลเข้าห้องหม้อไอน้ำนั้น[46]
กัปตันบาร์ตเล็ตต์สั่งให้ปิดประตูผนึกน้ำ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ และให้ลูกเรือเตรียมเรือชูชีพ[46] สัญญาณ SOS ถูกส่งออกไปทันที และเรืออื่น ๆ หลายลำในบริเวณนั้นก็ได้รับสัญญาณ รวมถึงเรือหลวงสเกิร์จ (HMS Scourge) และเรือหลวงเฮโรอิก (HMS Heroic) แต่บริแทนนิกไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับใด ๆ โดยที่กัปตันบาร์ตเล็ตต์และเจ้าหน้าที่วิทยุบนเรือไม่ทราบเลยว่าแรงระเบิดครั้งแรกนั้นทำให้สายอากาศที่แขวนอยู่ระหว่างเสากระโดงเรือขาด[48]
ในขณะที่ประตูผนึกน้ำของอุโมงค์คนต้มน้ำเสียหาย ประตูผนึกน้ำระหว่างห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 6 และ 5 ก็ไม่สามารถปิดได้อย่างถูกต้อง[46] ทำให้น้ำไหลเข้าไปในห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 5 มากขึ้น ขณะนี้เรือบริแทนนิกถึงขีดจำกัดการถูกน้ำท่วมแล้ว โดยเรือสามารถลอยลำอยู่เหนือน้ำได้โดยมีห้องกันน้ำอย่างน้อย 6 ห้องถูกน้ำท่วม[49] มาตรการเหล่านี้ถูกนำมาใช้หลังจากการจมของไททานิก (ไททานิกสามารถลอยลำอยู่น้ำได้ด้วยช่องกันน้ำ 4 ช่องแรกเท่านั้น)[50]
กำแพงกั้นน้ำที่สำคัญถัดไปคือระหว่างห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 5 และ 4 ที่ประตูผนึกน้ำยังคงสภาพสมบูรณ์ และน่าจะรับประกันความอยู่รอดของเรือได้ แต่ทว่ามีช่องหน้าต่างเรือที่เปิดอยู่ตามชั้นล่างด้านหน้าเรือ ซึ่งเอียงอยู่ใต้ระดับน้ำภายในไม่กี่นาทีหลังเกิดระเบิด เนื่องจากพยาบาลได้เปิดช่องหน้าต่างเหล่านี้ส่วนใหญ่เพื่อระบายอากาศในห้องผู้ป่วย ซึ่งขัดกับคำสั่งที่ได้รับไว้ เมื่อเรือเอียงมากขึ้น น้ำก็ท่วมถึงระดับนี้และเริ่มไหลเข้าด้านหลังจากกำแพงกั้นน้ำระหว่างห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 5 และ 4 ด้วยห้องกันน้ำมากกว่า 6 ห้องที่ถูกน้ำท่วม จึงทำให้เรือไม่สามารถลอยลำอยู่เหนือน้ำได้อีกต่อไป[50]
อพยพ
บนสะพานเดินเรือ กัปตันบาร์ตเล็ตต์กำลังพิจารณาความพยายามที่จะช่วยเรือ หลังจากการระเบิดเพียง 2 นาที คนงานในห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 5 และ 6 ก็ถูกอพยพ ในเวลาประมาณ 10 นาที บริแทนนิกก็อยู่ในสภาพเดียวกับไททานิกหลังจากชนภูเขาน้ำแข็ง 1 ชั่วโมง เพียง 15 นาทีหลังจากเรือถูกกระแทก ช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่บนชั้น E ก็อยู่ใต้น้ำ จากนั้นน้ำก็ไหลเข้าสู่ส่วนท้ายของเรือจากช่องกันน้ำระหว่างห้องหม้อหมายเลข 4 และ 5 ทำให้เรือเอียงไปทางกราบขวาอย่างรวดเร็วเนื่องจากน้ำหนักของน้ำที่ไหลเข้ามาทางกราบขวา[51]
ในขณะที่มองเห็นเกาะเคียของกรีซอยู่ทางด้านขวา กัปตันบาร์ตเล็ตต์จึงสั่งให้หันเรือเข้าหาเกาะเพื่อพยายามนำเรือไปเกยตื้น ผลกระทบจากการเอียงไปทางกราบขวาของเรือและน้ำหนักของหางเสือ ทำให้การพยายามควบคุมเรือด้วยเครื่องยนต์ของตัวเองเป็นไปได้ยาก และระบบบังคับเลี้ยวได้รับความเสียหายจากการระเบิดที่ทำให้ไม่สามารถบังคับเรือด้วยหางเสือได้ กัปตันสั่งให้ขับเคลื่อนใบจักรกราบซ้ายด้วยความเร็วที่สูงกว่ากราบขวา ซึ่งช่วยให้เรือเคลื่อนตัวไปทางเกาะได้ระดับหนึ่ง[51]
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ก็เตรียมพร้อมที่จะอพยพ กัปตันบาร์ตเล็ตต์ได้สั่งให้เตรียมเรือชูชีพ แต่ยังไม่อนุญาตให้ปล่อยลงน้ำ ทุกคนนำสิ่งของมีค่าที่สุดติดตัวไปด้วยก่อนอพยพ บาทหลวงประจำเรือเก็บพระคัมภีร์ของเขาไว้ ผู้ป่วยและพยาบาลจำนวนน้อยบนเรือได้รับการรวมตัวกัน พันตรีแฮโรลด์ พรีสต์ลีย์ (Major Harold Priestley) รวบรวมทหารของเขาจากหน่วยเสนารักษ์ทหารบก (Royal Army Medical Corps) ไปที่ด้านหลังของชั้น A และตรวจสอบห้องโดยสารเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้[51]
ขณะที่กัปตันบาร์ตเล็ตต์ยังคงพยายามบังคับเรืออย่างสุดชีวิต เรือก็เอียงเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ลูกเรือคนอื่น ๆ เริ่มกลัวว่าเรือจะเอียงมากเกินไป จึงตัดสินใจปล่อยเรือชูชีพลำแรกลงน้ำโดยไม่รอคำสั่ง[51] บาร์ตเล็ตต์ตัดสินใจหยุดเรือและเครื่องยนต์ ก่อนที่เขาจะทำได้ เรือชูชีพสองลำถูกปล่อยลงน้ำทางฝั่งกราบซ้ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ชั้นสาม ฟรานซิส ลอว์ส (Francis Laws) ใบจักรที่ยังคงหมุนอยู่และโผล่ขึ้นมาเพียงบางส่วน ได้ดูดและทำลายเรือชูชีพทั้งสองลำเข้าไป คร่าชีวิตผู้คนไป 30 คน[50] ในที่สุด บาร์ตเล็ตต์ก็สามารถหยุดใบจักรเรือได้ก่อนที่พวกมันจะทำลายเรือชูชีพเพิ่ม[52]
ช่วงเวลาสุดท้าย
เวลา 08:50 น. ผู้โดยสารและลูกเรือส่วนใหญ่ได้อพยพลงเรือชูชีพทั้ง 35 ลำที่ปล่อยลงน้ำเรียบร้อยแล้ว ณ จุดนี้ บาร์ตเล็ตต์สรุปว่าอัตราการจมของเรือลดลง เขาจึงสั่งหยุดการอพยพและสั่งให้สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้งด้วยความหวังว่าจะยังสามารถนำเรือขึ้นฝั่งได้[53]
เวลา 09:00 น. กัปตันบาร์ตเล็ตต์ได้รับแจ้งว่าอัตราการท่วมเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเรือกำลังแล่นไปข้างหน้า และน้ำท่วมมาถึงชั้น D แล้ว เมื่อตระหนักว่าไม่มีความหวังที่จะไปถึงฝั่งทันเวลา บาร์ตเล็ตต์จึงได้สั่งหยุดเครื่องยนต์เป็นครั้งสุดท้าย และส่งสัญญาณเตือนภัยสองครั้งด้วยเสียงนกหวีด ซึ่งเป็นสัญญาณให้สละเรือ[54] เมื่อน้ำท่วมถึงสะพานเดินเรือ เขาและผู้ช่วยผู้กัปตันไดค์เดินลงไปบนดาดฟ้าและลงไปในน้ำ ว่ายน้ำไปยังเรือชูชีพแบบพับได้ ซึ่งพวกเขายังคงประสานงานปฏิบัติการกู้ภัยต่อไป[55]
เรือเอียงไปทางกราบขวาอย่างช้า ๆ และปล่องควันก็พังลงทีละปล่องขณะที่เรือล่มอย่างรวดเร็ว เมื่อท้ายเรือโผล่พ้นน้ำ หัวเรือก็ก็ได้กระแทกกับพื้นทะเลแล้ว เนื่องจากความยาวของเรือที่มากกว่าความลึกของน้ำ แรงกระแทกจึงทำให้หัวเรือได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก่อนที่เรือจะจมหายไปใต้คลื่นทั้งหมดในเวลา 09:07 น. ซึ่งเป็นเวลา 55 นาทีหลังจากเกิดระเบิด[54]
ไวโอเล็ต เจสซอป (Violet Jessop) ผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิกและเป็นหนึ่งในผู้โดยสารบนเรือโอลิมปิกเมื่อครั้งชนกับเรือหลวงฮอว์ก บรรยายถึงวินาทีสุดท้ายของเรือบริแทนนิกไว้ดังนี้:[56]
- "หัวเรือค่อย ๆ จมลงเล็กน้อย จากนั้นก็จมต่ำลงอีกและต่ำลงเรื่อย ๆ สิ่งของทั้งหมดบนดาดฟ้าหล่นลงไปในทะเลราวกับของเล่นเด็ก จากนั้นเรือก็พุ่งตัวลงอย่างน่ากลัว ท้ายเรือยกขึ้นสูงหลายร้อยฟุตสู่ท้องฟ้า จนกระทั่งในที่สุด เรือก็หายไปในความลึก เสียงของเรือที่หายไปดังกึกก้องไปทั่วผืนน้ำด้วยความรุนแรงอย่างไม่นึกฝัน...."
เมื่อเรือบริแทนนิกอับปาง เรือลำนี้ก็กลายเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่อับปางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นเรือโดยสารที่จมลงใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก[57]
ช่วยเหลือผู้รอดชีวิต
เมื่อเปรียบเทียบกับการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตของเรือไททานิก การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตของเรือบริแทนนิกนั้นสะดวกกว่าด้วยปัจจัยสามประการ ได้แก่:
- อุณหภูมิที่สูงกว่า: 20 องศาเซลเซียส (68 องศาฟาเรนไฮต์)[58] เทียบกับ –2 องศาเซลเซียส (28 องศาฟาเรนไฮต์) ของไททานิก[59] สภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าช่วยป้องกันผู้รอดชีวิตจากภาวะอุณหภูมิต่ำ
- เรือชูชีพที่มีมากกว่า: เรือชูชีพ 35 ลำถูกปล่อยลงน้ำสำเร็จและลอยอยู่ได้[60] เทียบกับไททานิกที่มีเพียง 20 ลำ[61] จำนวนเรือชูชีพที่มากขึ้นทำให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น
- ความช่วยเหลือที่อยู่ใกล้กว่า: ความช่วยเหลือมาถึงภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงหลังจากการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือครั้งแรก[60] เทียบกับ 3 ชั่วโมงครึ่งของไททานิก[62] การมาถึงของความช่วยเหลือที่สั้นลงช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต
ผู้ที่เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุเป็นกลุ่มแรกคือชาวประมงจากเกาะเคีย พวกเขานำเรือคาอีค (caïque) ของตนมาช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหลายคนขึ้นจากน้ำ[63] เวลา 10:00 น. เรือหลวงเอชเอ็มเอส สเกิร์จ (HMS Scourge) ได้พบเห็นเรือชูชีพลำแรกและอีก 10 นาทีต่อมาก็ได้หยุดเรือและช่วยเหลือผู้รอดชีวิต 339 คน เรือกลไฟติดอาวุธเอชเอ็มเอส เฮโรอิก (HMS Heroic) ที่เดินทางมาถึงก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็ได้ช่วยเหลือผู้รอดชีวิต 494 คน[64] มีผู้รอดชีวิตประมาณ 150 คนที่ถูกนำไปยังเมืองโกริสเซียบนเกาะเคีย ซึ่งแพทย์และพยาบาลที่รอดชีวิตพยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยการใช้ผ้ากันเปื้อนและชิ้นส่วนของพวงชูชีพทำเป็นผ้าพันแผล และใช้พื้นที่ท่าเรือเล็ก ๆ เป็นห้องผ่าตัดชั่วคราว[ต้องการอ้างอิง]
เรือหลวงสเกิร์จและเฮโรอิกไม่มีพื้นที่บนดาดฟ้าสำหรับผู้รอดชีวิตเพิ่มเติมอีกแล้ว พวกเขาจึงออกเดินทางไปเมืองไพรีอัส เพื่อแจ้งข่าวการมีชีวิตอยู่ของผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่ในโกริสเซีย เรือหลวงฟ็อกซ์ฮาวด์ (HMS Foxhound) เดินทางมาถึงโกริสเซียในเวลา 11:45 น. หลังจากสำรวจบริเวณโดยรอบแล้ว จึงทอดสมอที่ท่าเรือเล็ก ๆ แห่งนั้นในเวลา 13:00 น. เพื่อให้การช่วยเหลือทางการแพทย์และนำผู้รอดชีวิตที่เหลือขึ้นเรือ[64] และในเวลา 14:00 น. เรือลาดตระเวนเบาเอชเอ็มเอส ฟอร์ไซต์ (HMS Foresight) ก็มาถึง
เรือหลวงฟ็อกซ์ฮาวด์ออกเดินทางไปยังไพรีอัสในเวลา 14:15 น ส่วนเรือหลวงฟอร์ไซต์ยังคงอยู่เพื่อจัดเตรียมการฝังศพเสนารักษ์ทหารบก จ่าสิบเอกวิลเลียม ชาร์ป (William Sharpe) ที่เกาะเคีย ซึ่งเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บ ผู้รอดชีวิตอีก 2 คนเสียชีวิตบนเรือหลวงเฮโรอิก และอีก 1 คนบนเรือลากจูงโกลิอัท (Goliath) ของฝรั่งเศส ทั้งสามคนได้รับการฝังศพด้วยเกียรติยศทางทหารในสุสานทหารเรือและกงสุลที่ไพรีอัส[65] ผู้เสียชีวิตคนสุดท้ายคือ จี. ฮันนีค็อตต์ (G. Honeycott) ซึ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาลรัสเซียในไพรีอัสหลังจากพิธีศพไม่นาน[ต้องการอ้างอิง]
การอับปางของเรือบริแทนนิกมีผู้รอดชีวิต 1,036 คนจากผู้โดยสารทั้งหมด 1,066 คน และมีผู้เสียชีวิต 30 คน[66] แต่มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ได้รับการฝังศพ โดยผู้เสียชีวิตที่เหลือไม่สามารถกู้ศพกลับมาได้ และได้รับเกียรติบนอนุสรณ์สถานในเทสซาโลนีกี (อนุสรณ์สถานมิกรา) และลอนดอน อีก 38 คนได้รับบาดเจ็บ (ลูกเรือ 18 คนและเสนารักษ์ฯ 20 คน)[67] ผู้รอดชีวิตได้รับการดูแลในเรือรบที่ทอดสมออยู่ ณ ท่าเรือไพรีอัส ในขณะที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ได้รับการต้อนรับในโรงแรมที่ฟาเลรัม ประชาชนชาวกรีซจำนวนมากและเจ้าหน้าที่รัฐเข้าร่วมพิธีศพ ผู้รอดชีวิตถูกส่งกลับบ้านและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เดินทางกลับถึงสหราชอาณาจักรก่อนวันคริสต์มาส[68]
เรือเดินสมุทร
เรือบริแทนนิกได้รับการออกแบบให้มีความหรูหรามากกว่าเรือพี่ เพื่อแข่งขันกับเรือเอสเอส อิมเพอเรเตอร์ เอสเอส วาเทอร์แลนด์ และอาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย
มีห้องโดยสารเพียงพอสำหรับผู้โดยสารที่แบ่งออกเป็นสามชั้น ไวต์สตาร์ไลน์คาดการณ์ว่าฐานลูกค้าของตนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้น คุณภาพของชั้นที่สาม (สำหรับผู้อพยพ) จึงลดลงเมื่อเทียบกับเรือพี่ ในขณะที่คุณภาพของชั้นที่สองเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จำนวนลูกเรือที่วางแผนไว้ยังเพิ่มขึ้นจากประมาณ 860 – 880 คนบนเรือโอลิมปิกและไททานิกเป็น 950 คนบนเรือบริแทนนิก[69]
เรือบริแทนนิกได้ปรับปรุงคุณภาพของห้องโดยสารชั้นหนึ่งให้ดีขึ้น เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่มีเด็ก โดยมีการสร้างห้องเล่นสำหรับเด็กบนดาดฟ้าชั้นเรือบด[70] เช่นเดียวกับเรือแฝดทั้งสองลำ สิ่งอำนวยความสะดวกชั้นหนึ่งของเรือบริแทนนิกยังคงมีบันไดใหญ่ (Grand staircase) แต่สิ่งอำนวยความสะดวกของบริแทนนิกนั้นหรูหรามากยิ่งขึ้น มีราวบันไดที่ประดับประดา แผ่นผนังตกแต่งอย่างสวยงาม และมีออร์แกน[71]
เรือบริแทนนิกมีการจัดสรรพื้นที่ทั้งหมดของดาดฟ้าชั้น A ให้กับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง โดยมีการติดตั้งห้องโถง ร้านกาแฟริมระเบียง 2 แห่ง ห้องสูบบุหรี่ และห้องอ่านหนังสือ[72] บนดาดฟ้าชั้น B ประกอบด้วยร้านทำผม ไปรษณีย์ และห้องชุดสุดหรูที่ได้รับการออกแบบใหม่ ซึ่งเรียกในผังของผู้สร้างว่าซาลูน[73] สิ่งเพิ่มเติมที่สำคัญที่สุดคือห้องน้ำในตัวเกือบทุกห้องของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในเรือเดินสมุทร ซึ่งบนเรือโอลิมปิกและไททานิก ผู้โดยสารส่วนใหญ่ต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะ[74]
สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ถูกติดตั้งไว้ แต่ถูกนำออกในภายหลังเนื่องจากเรือถูกแปลงเป็นเรือพยาบาล และไม่เคยติดตั้งใหม่เพราะเรืออับปางก่อนที่จะเข้าประจำการบริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ดังนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกที่วางแผนไว้จึงถูกยกเลิก ทำลาย นำกลับไปใช้ซ้ำบนเรือลำอื่น เช่น โอลิมปิกหรือมาเจสติก หรือไม่เคยถูกนำมาใช้เลย[30] ในบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ มีเพียงบันไดขนาดใหญ่และห้องเล่นของเด็กเท่านั้นที่ยังคงติดตั้งอยู่ ใต้โดมกระจก มีกำแพงสีขาวอยู่เหนือบันไดชั้นหนึ่งแทนที่จะเป็นนาฬิกาและภาพวาดขนาดใหญ่
ออร์แกน
เรือบริแทนนิกมีแผนที่จะติดตั้งออร์แกนฟิลฮาร์โมนิกของบริษัทเวิลท์ (Welte-Mignon) แต่เนื่องจากสงครามปะทุขึ้น ทำให้ออร์แกนนี้ไม่เคยถูกส่งจากเยอรมนีไปยังเบลฟาสต์[30] หลังสงคราม ฮาร์แลนด์แอนด์วูล์ฟก็ไม่ได้เรียกร้องให้นำออร์แกนนี้มาติดตั้ง เนื่องจากเรืออับปางก่อนที่เรือจะสามารถเข้าให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้มันยังไม่ได้ถูกติดตั้งบนเรือโอลิมปิก หรือมาเจสติก เนื่องจากไวต์สตาร์ไลน์ไม่ต้องการ เป็นเวลาหมายปีที่เชื่อกันว่าออร์แกนนี้สูญหายไปหรือถูกทำลาย[30]
อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 ผู้บูรณะออร์แกนเวิลท์ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีอัตโนมัติสวิสในเมืองซีเวน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ตรวจพบว่าชิ้นส่วนหลัก ๆ ของออร์แกนนั้นมีตราประทับคำว่า "Britanik" โดยช่างสร้างออร์แกนชาวเยอรมัน"[75] ภาพถ่ายของภาพวาดในโฆษณาของบริษัทซึ่งพบในมรดกของเวิลท์ ในพิพิธภัณฑ์ออกัสตินเนอร์ ในไฟรบวร์ค ได้พิสูจน์ว่านี่คือออร์แกนที่สร้างขึ้นสำหรับเรือบริแทนนิก และพบว่าเวิลท์ได้ขายออร์แกนนี้ให้กับเจ้าของเอกชนในเมืองชตุทการ์ท[76]
ต่อมาในปี ค.ศ. 1937 ออร์แกนนี้ถูกย้ายไปยังห้องแสดงคอนเสิร์ตของบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองวิปเปอร์เฟิร์ท ซึ่งในที่สุดก็ถูกผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ดนตรีอัตโนมัติสวิสซื้อมาในปี ค.ศ. 1969 ในขณะนั้นพิพิธภัณฑ์ยังไม่ทราบประวัติเดิมของออร์แกน [77] และยังคงดูแลให้ออร์แกนอยู่ในสภาพใช้งานได้ และยังคงใช้สำหรับการแสดงแบบอัตโนมัติและแบบแมนนวล
ซากเรือ
ซากเรือบริแทนนิกอยู่ในพิกัด 37°42′05″N 24°17′02″E / 37.70139°N 24.28389°E ในระดับความลึกประมาณ 400 ฟุต (122 เมตร)[78] ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1975 โดยฌาคส์ กูสโต (Jacques Cousteau) ซึ่งเป็นผู้สำรวจเรือลำนี้[79][69] ในระหว่างการถ่ายทำการสำรวจ เขายังได้จัดการประชุมทางกล้องกับผู้ที่รอดชีวิตจากการอับปางของเรือหลายคน[80] ในปี ค.ศ. 1976 กูสโตเข้าไปในซากเรือกับนักดำน้ำของเขาเป็นครั้งแรก[81] เขาแสดงความคิดเห็นว่าเรือลำนี้น่าจะถูกจมโดยตอร์ปิโดเพียงลูกเดียว โดยอาศัยความเสียหายของแผ่นโลหะของเรือเป็นหลักฐาน[82]
ซากเรือนอนตะแคงอยู่ทางกราบขวา ซึ่งบดบังร่องรอยการชนกับทุ่นระเบิด ใต้ชั้นดาดฟ้าหน้าเรือ (well deck) เป็นรูขนาดใหญ่ ส่วนหัวเรือได้รับความเสียหายอย่างหนักและติดอยู่กับตัวเรือเพียงบางส่วนของชั้น C ห้องพักลูกเรือที่หัวเรือยังคงอยู่ในสภาพดี โดยยังคงมองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ ส่วนห้องเก็บสินค้าพบว่าว่างเปล่า[81]
เครื่องจักรหัวเรือและเครนขนสินค้าสองตัวบนดาดฟ้าหน้าเรือยังคงสภาพดี เสากระโดงหน้าเรือหักงอและวางอยู่บนพื้นทะเลใกล้กับซากเรือพร้อมกับรังกา (crow's nest) ที่ยังติดอยู่ ระฆังที่คาดว่าสูญหายไปแล้วถูกพบในการดำน้ำในปี 2019 ซึ่งตกลงมาจากเสากระโดงและอยู่ใต้รังกาบนพื้นทราย พบปล่องไฟหมายเลข 1 ห่างจากชั้นดาดฟ้าเรือไม่กี่เมตร ปล่องไฟหมายเลข 2, 3 และ 4 ในกองเศษซากห่างจากท้ายเรือ[81] และพบเศษถ่านหินอยู่ข้างซากเรือ[83]
ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1995 ในการสำรวจที่ถ่ายทำโดย NOVA ดร.โรเบิร์ต บัลลาร์ด (Robert Ballard) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในการค้นพบซากเรือไททานิกในปี 1985 และเรือประจัญบานบิสมาร์คในปี 1989 ได้เดินทางไปเยี่ยมชมซากเรือโดยใช้โซนาร์สแกนด้านข้างขั้นสูง ภาพถูกบันทึกจากยานควบคุมระยะไกล แต่ไม่ได้เข้าไปสำรวจภาย���นซากเรือ บัลลาร์ดพบว่าปล่องไฟของเรือทั้งหมดอยู่ในสภาพดีอย่างน่าประหลาดใจ และความพยายามในการค้นหาทุ่นระเบิดล้มเหลว[84]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1996 ซากเรือถูกซื้อโดยไซมอน มิลส์ (Simon Mills) ซึ่งได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรือสองเล่มได้แก่ บริแทนนิก – ไททันลำสุดท้าย (Britannic – The Last Titan) และเหยื่อแห่งโชคชะตา (Hostage To Fortune)[85]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1997 ทีมนักประดาน้ำนานาชาติที่นำโดยเควิน เกอร์ (Kevin Gurr) ได้ใช้เทคนิคการดำน้ำระบบหายใจแบบเปิดไตรมิกซ์ (open-circuit trimix) เพื่อสำรวจและบันทึกภาพซากเรือด้วยรูปแบบวิดีโอดิจิทัล DV ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่[84]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1998 ทีมนักดำน้ำอีกทีมหนึ่งได้เดินทางไปสำรวจซากเรือ[86][87] โดยใช้ยานพาหนะดำน้ำ ทีมได้ดำน้ำสำรวจซากเรือเพิ่มเติมและถ่ายภาพมากกว่าที่เคยมีมา รวมถึงวิดีโอของเครื่องสั่งจักร (telegraph) ทั้ง 4 ตัว พังงา (helm) และเครื่องควบคุมหางเสือระยะไกล (telemotor) บนสะพานเดินเรือ[88]
ในปี ค.ศ. 1999 นักดำน้ำ GUE ที่ชำนาญการดำน้ำในถ้ำและการสำรวจมหาสมุทร เป็นผู้นำในการสำรวจดำน้ำครั้งแรกเพื่อเข้าไปสำรวจภายในซากเรืออย่างละเอียด วิดีโอของการสำรวจครั้งนี้ได้ออกอากาศทางเนชั่นแนลจีโอกราฟิก, บีบีซี, ฮิสทรี และดิสคัฟเวอรี[89]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 คณะสำรวจนำโดยคาร์ล สเปนเซอร์ (Carl Spencer) ได้ดำน้ำลงไปสำรวจซากเรือ[90] นี่เป็นการสำรวจครั้งแรกที่นักดำน้ำทุกคนใช้เครื่องช่วยหายแบบวงจรปิด (CCR) นักดำน้ำ ลีห์ บิชอป (Leigh Bishop) ได้นำภาพถ่ายแรก ๆ จากภายในซากเรือกลับมา และคู่หูของเขาริช สตีเวนสัน (Rich Stevenson) พบว่าประตูผนึกน้ำหลายบานเปิดอยู่ มีการสันนิษฐานว่าสาเหตุมาจากการที่ระเบิดทุ่นระเบิดตรงกับช่วงเวลาเปลี่ยนเวรลูกเรือ อีกทางเลือกหนึ่งคือแรงระเบิดอาจทำให้บานประตูเสียรูป ผู้เชี่ยวชาญด้านโซนาร์ บิล สมิธ (Bill Smith) ได้ค้นพบทุ่นระเบิดจำนวนหนึ่งนอกซากเรือ การค้นพบนี้ยืนยันบันทึกของเรือดำน้ำ U-73 ของเยอรมนีว่าเรือถูกจมโดยทุ่นระเบิดลูกเดียว และความเสียหายรุนแรงขึ้นเนื่องจากช่องหน้าต่างและประตูผนึกน้ำที่เปิดอยู่ การสำรวจของสเปนเซอร์ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกเป็นเวลาหลายปีโดยเนชั่นแนลจีโอกราฟิก และช่อง 5 ของสหราชอาณาจักร[91]
ในปี ค.ศ. 2006 คณะสำรวจที่ได้รับทุนและถ่ายทำโดยช่องฮิสทรีได้รวบรวมนักประดาน้ำที่มีทักษะ 14 คน เพื่อช่วยกันค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรือจมลงอย่างรวดเร็ว[91] หลังจากเตรียมพร้อม ทีมได้ลงดำน้ำสำรวจซากเรือในวันที่ 17 กันยายน แต่การสำรวจต้องหยุดลงชั่วคราวเนื่องจากมีตะกอนลอยขึ้นมาจนทำให้มองไม่เห็น นักประดาน้ำ 2 คนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากเหตุการณ์นี้ การดำน้ำครั้งสุดท้ายมีเป้าหมายคือห้องหม้อไอน้ำของเรือ แต่พวกเขาพบว่าการถ่ายภาพภายในซากเรือจะเป็นการละเมิดใบอนุญาตที่ออกโดยกรมโบราณวัตถุใต้น้ำ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายในกระทรวงวัฒนธรรมของกรีซ
เนื่องจากข้อจำกัดทางภาษา คำร้องขอในนาทีสุดท้ายจึงถูกปฏิเสธโดยกรมโบราณวัตถุใต้น้ำ ภารกิจนี้ไม่สามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เรือล่มอย่างรวดเร็วได้ แต่มีการถ่ายทำวิดีโอนานหลายชั่วโมงและบันทึกข้อมูลสำคัญไว้ ภายหลัง กรมโบราณวัตถุใต้น้ำได้ตระหนักถึงความสำคัญของภารกิจนี้ และได้เชิญให้ทีมสำรวจกลับมาเยี่ยมชมซากเรือภายใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่เข้มงวดนัก
ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 คาร์ล สเปนเซอร์ เสียชีวิตในกรีซเนื่องจากปัญหาด้านอุปกรณ์ขณะถ่ายทำซากเรือให้กับเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ซึ่งเป็นครั้งที่สามที่เขาถ่ายภาพซากเรือ[92]
ในปี ค.ศ. 2012 คณะสำรวจนำโดยอเล็กซานเดอร์ โซติริโอ (Alexander Sotiriou) และพอล ลิจเนน (Paul Lijnen) นักดำน้ำที่ใช้เครื่องช่วยหายแบบรีบรีเทอร์ (rebreathers) ได้ลงไปติดตั้งและกู้คืนอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาว่าแบคทีเรียกินเหล็กของเรือบริแทนนิกได้เร็วกว่าเรือไททานิกหรือไม่[93]
ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2019 ทิม ซาวิลล์ (Tim Saville) นักดำน้ำลึกชาวอังกฤษ เสียชีวิตระหว่างการดำน้ำลึก 393 ฟุต (120 เมตร) บนซากเรือบริแทนนิก[94]
มรดก
เนื่องจากอาชีพของเรือถูกตัดขาดในช่วงสงคราม ไม่เคยให้บริการเชิงพาณิชย์ และมีผู้เสียชีวิตเพียงเล็กน้อย บริแทนนิกจึงไม่โด่งดังเหมือนไททานิก หลังจากถูกลืมเลือนจากสาธารณชนเป็นเวลานาน เรือก็มีชื่อเสียงอีกครั้งเมื่อซากเรือถูกค้นพบ[95] ชื่อของเรือถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยไวต์สตาร์ไลน์ เมื่อนำเรือเอ็มวี บริแทนนิก (MV Britannic) เข้าประจำการในปี ค.ศ. 1930 เรือลำนั้นเป็นเรือลำสุดท้ายที่ใช้ธงของบริษัท และปลดประจำการในปี ค.ศ. 1960[96]
หลังจากเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามด้วยสนธิสัญญาแวร์ซาย เยอรมนีก็ได้มอบเรือเดินสมุทรบางส่วนของตนเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม สองลำในจำนวนนั้นได้มอบให้ไวต์สตาร์ไลน์ ลำแรกคือ บิสมาร์ก โดยเปลี่ยนชื่อเป็น มาเจสติก (Majestic) ซึ่งมาแทนที่ยริแทนนิก และลำที่สองคือ โคลัมบัส (Columbus) โดยเปลี่ยนชื่อเป็น โฮเมริก (Homeric)[97]
จอร์จ เพอร์แมน (George Perman) ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจากการอับปางของเรือ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 2000 ขณะนั้นเขาอายุเพียง 15 ปี และกำลังทำหน้าที่เป็นลูกเสือคอยช่วยเหลือบนเรือ[98]
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
การอับปางของเรือถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง "บริแทนนิค" ในปี 2000 นำแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด อัตเตอร์ตัน, อแมนด้า ไรอัน, แจ็กเกอลีน บิสเซ็ต และจอห์น ริส-เดวีส์ เป็นเรื่องราวสมมติที่มีสายลับชาวเยอรมันก่อวินาศกรรมในเรือลำนี้ เนื่องจากเรือได้แอบขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์
สารคดีของบีบีซี 2 เรื่อง โศกนาฏกรรมเรือแฝดของไททานิก – หายนะของบริแทนนิก (Titanic's Tragic Twin – the Britannic Disaster) ออกอากาศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2016 นำเสนอภาพของซากเรือในปัจจุบันและพูดคุยกับญาติของผู้รอดชีวิต[99]
นวนิยายเรื่อง The Deep ในปี 2020 มีฉากส่วนหนึ่งอยู่บนเรือบริแทนนิก และไททานิก และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการอับปางของเรือทั้งสองลำ[100]
โปสการ์ด
โปสการ์ดของอาร์เอ็มเอส บริแทนนิก | ||||
---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 Lynch (2012), p. 161.
- ↑ "HMHS Britannic (1914) Builder Data". MaritimeQuest. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กันยายน 2008. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2008.
- ↑ Vladisavljevic, Brana. "Titanic's sister ship Britannic could become a diving attraction in Greece". Lonely Planet. Retrieved 9 October 2021.
- ↑ "HMHS Britannic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-28, สืบค้นเมื่อ 2023-07-29
- ↑ Chirnside 2011, p. 217 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 231 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 220 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 224 .
- ↑ 9.0 9.1 Piouffre 2009, p. 307 .
- ↑ 10.0 10.1 10.2 Bonsall, Thomas E. (1987). "8". Titanic. Baltimore, Maryland: Bookman Publishing. p. 54. ISBN 978-0-8317-8774-5.
- ↑ Chirnside 2011, p. 12.
- ↑ Piouffre 2009, p. 41
- ↑ Chirnside 2011, p. 19.
- ↑ Chirnside 2011, p. 14.
- ↑ Chirnside 2011, p. 18.
- ↑ "HMHS Britannic". ocean-liners.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ธันวาคม 2005. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2006.
- ↑ Bonner, Kit; Bonner, Carolyn (2003). Great Ship Disasters. MBI Publishing Company. p. 60. ISBN 0-7603-1336-9.
- ↑ "White Star Line". 20thcenturyliners.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มิถุนายน 2014. สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม 2014.
- ↑ "24 Apr 1912 – WHITE STAR'S NEXT GREAT LINER. – Trove". Trove.nla.gov.au. 1912-04-24. สืบค้นเมื่อ 2022-02-27.
- ↑ "25 Nov 1911 – A MAMMOTH STEAMER. – Trove". Trove.nla.gov.au. 1911-11-25. สืบค้นเมื่อ 2022-02-27.
- ↑ The Madison Daily Leader เก็บถาวร 5 ตุลาคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 27 November 1911..Retrieved 4 October 2018
- ↑ Las Vegas Optic: "1,000 FOOT SHIP MAY DOCK IN NEW YORK" เก็บถาวร 5 ตุลาคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 21 November 1911..Retrieved 4 October 2018
- ↑ Joshua Milford: What happened to Gigantic? เก็บถาวร 5 มีนาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Website viewed 9 June 2014
- ↑ 24.0 24.1 Mark Chirnside: Gigantic Dossier เก็บถาวร 3 มีนาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Website viewed 1 May 2012
- ↑ Chirnside 2011, p. 216 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 242 .
- ↑ Launch footage เก็บถาวร 11 พฤษภาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน and "Funnel fitting". เก็บถาวร 21 มิถุนายน 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน British Pathé. Retrieved 18 February 2013
- ↑ Chirnside 2011, p. 238 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 239 .
- ↑ 30.0 30.1 30.2 30.3 30.4 30.5 30.6 Chirnside 2011, p. 240 .
- ↑ Le Goff 1998, p. 50
- ↑ 32.0 32.1 32.2 Chirnside 2011, p. 241 .
- ↑ 33.0 33.1 Chirnside 2011, p. 243 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 92 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 94 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 244 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 245 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 246 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 247 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 249 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 250 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 254 .
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:3
- ↑ 44.0 44.1 Chirnside 2011, p. 253.
- ↑ "Sinking". Hospital Ship HMHS Britannic. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 10 สิงหาคม 2015.
- ↑ 46.0 46.1 46.2 46.3 46.4 46.5 Chirnside 2011, p. 260.
- ↑ 47.0 47.1 Chirnside 2011, p. 259.
- ↑ Chirnside 2011, p. 256 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 261.
- ↑ 50.0 50.1 50.2 Chirnside 2011, p. 258 .
- ↑ 51.0 51.1 51.2 51.3 Chirnside 2011, p. 257 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 259 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 260 .
- ↑ 54.0 54.1 Chirnside 2011, p. 261 .
- ↑ « Britannic » เก็บถาวร 6 สิงหาคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Titanic-titanic.com. Accessed 12 July 2009.
- ↑ Gleick, Elizabeth; Carassava, Anthee (26 October 1998). "Deep Secrets". Time International (South Pacific Edition). No. 43. p. 72.
- ↑ "PBS Online – Lost Liners – Britannic". PBS. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 ตุลาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2008.
- ↑ Chirnside 2011, p. 262.
- ↑ Lord 2005, p. 149.
- ↑ 60.0 60.1 Chirnside 2011, p. 266.
- ↑ Lord 2005, p. 103.
- ↑ Brewster & Coulter 1998, pp. 45 and 62.
- ↑ Chirnside 2011, pp. 261–262 .
- ↑ 64.0 64.1 Chirnside 2011, p. 262 .
- ↑ "Cemetery Details | CWGC". www.cwgc.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-09-26.
- ↑ Chirnside 2011, pp. 325–327 .
- ↑ "Crew Lists". Hospital Ship HMHS Britannic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 สิงหาคม 2015.
- ↑ Chirnside 2011, p. 264 .
- ↑ 69.0 69.1 Chirnside 2011, p. 296 .
- ↑ Chirnside 2011, p. 225 .
- ↑ RMS Britannic: A deck, Hospital Ship Britannic on The Internet Archive. Accessed 7 April 2011.
- ↑ Chirnside 2011, p. 226 .
- ↑ « RMS Britannic: B deck », Hospital Ship Britannic on The Internet Archive. Accessed 7 April 2011.
- ↑ Chirnside 2011, p. 227 .
- ↑ Christoph E. Hänggi: Die Britannic-Orgel im Museum für Musikautomaten Seewen So. Festschrift zur Einweihung der Welte-Philharmonie-Orgel; Sammlung Heinrich Weiss-Stauffacher. Hrsg.: Museum für Musikautomaten Seewen SO. Seewen: Museum für Musikautomaten, 2007.
- ↑ "Sunken Ocean-Liner Britannic's pipe organ found: Rare Welte-Philharmonie Organ Scheduled to Play Again" (PDF). David Rumsey: Organist, Consultant. 23 พฤษภาคม 2011. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มีนาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2012.
- ↑ Museum of Music Automatons Seewen: History of the organ Website viewed 20 November 2023
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อMC275
- ↑ "Britannic Jacques Cousteau's Search for Titanic's Sister Ship, Britannic Full Documentary". YouTube. 5 กันยายน 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มกราคม 2017. สืบค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2016.
- ↑ The Independent เก็บถาวร 21 กันยายน 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, obituary:Sheila Macbeth Mitchell; Friday 18 March 1994..Retrieved 29 February 2016
- ↑ 81.0 81.1 81.2 Chirnside 2011, p. 276 .
- ↑ "British Red Cross ship hit by torpedo". The Times. No. 59868. London. 23 November 1976. col F, p. 8.
- ↑ Chirnside 2011, p. 277 .
- ↑ 84.0 84.1 « HMHS Britannic Expedition Summary 1976–1999 », Marconigraph on The Internet Archive. Accessed 7 April 2011.
- ↑ Chirnside 2011, p. 284 .
- ↑ Chirnside 2011, pp. 282–284 .
- ↑ Hope, Nicholas (1998). "How We Dived The Britannic" เก็บถาวร 12 ธันวาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Bubblevision.com. Retrieved 1 January 2011.
- ↑ Hope, Nicholas (1998). "HMHS Britannic Video" เก็บถาวร 12 ธันวาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Bubblevision.com. Retrieved 1 January 2011.
- ↑ "HMHS Britannic". Ocean Discovery. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2008.
- ↑ « The Wreck », Hospital Ship Britannic on The Internet Archive. Accessed 7 April 2011.
- ↑ 91.0 91.1 (ในภาษาฝรั่งเศส) « Plongée par 120 m de fonds » เก็บถาวร 2 ตุลาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, La Dernière Heure. Accessed 28 July 2009.
- ↑ Pidd, Helen (25 พฤษภาคม 2009). "Tributes paid to diver Carl Spencer, killed filming Titanic sister ship". The Guardian. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2012.
- ↑ "Project Britannic". divernet.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2013.
- ↑ Rosemary E Lunn A little good comes from Brit wreck diver's death เก็บถาวร 7 พฤศจิกายน 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน X-Ray Magazine
- ↑ Chirnside 2011, p. 274 .
- ↑ « White Star Line MV Britannic (III) 1930–1960 The last WSL ship » เก็บถาวร 20 ธันวาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, « Titanic » and Other White Star Ships. Accessed 28 July 2009.
- ↑ Chirnside 2011, p. 107 .
- ↑ "Southampton scout survived sinking of First World War hospital ship".
- ↑ Rees, Jasper (5 December 2016). "Titanic's Tragic Twin: The Britannic Disaster felt under-researched but the survivor testimony was grimly fascinating – review". เดอะเดลีเทเลกราฟ. ลอนดอน. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ธันวาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2023.
- ↑ "'The Deep' book review – Voyage of nightmares and memories". เดอะนิวอินเดียนเอ็กซ์เพรส. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 17 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2023.